Short note ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ #IntaniaLeadership

คุยกับ ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ใน #IntaniaLeadership มี คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ เป็น Moderator นะครับ สำหรับประวัติทั่วไปลองเซิร์ท Google ดูได้ครับ

คุณก้องเกียรติ เรียนวิศวจุฬา ภาคคอมพ์รุ่นที่หนึ่ง และได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ดร ก้องเกียรติเองเป็นคนที่ชอบอะไรหลายเรื่องและเป็นคนรู้จักใช้ชีวิตและรู้จักทั้งศาสตร์และศิลป์

1.ตอนนี้มองตนเองเป็นนักบริหาร บริหารทั้งเงินทองและบริษัท
2. เป็นคนที่ชอบศิลปะอย่างมาก สะสมงานเยอะ และชอบทานอาหารอร่อยๆ โดยเวลาไปต่างประเทศก็จะจองร้านก่อน

เรียนเก่งได้อย่างไร

การเรียนเก่งมีปัจจัยมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล แต่ก่อนเข้าอนุบาลเสริมมิตร (ซึ่งตอนนนี้กลายเป้นโรงแรมมโนรา) จากนั้นเริ่มชีวิตกับครอบครัวแบบธุรกิจโดยที่มีฐานะปานกลาง ทำให้มีแรงผลักดันที่ดี ในขณะที่คนที่เกิดในครอบครัวที่รวยจะแรงผลักดันน้อยกว่า จากอนุบาลยังเข้าอัสสัมชัญทำให้เกิด inspiration อย่างมาก

การเรียนได้ที่ 1 มาตลอด จบอัสสัมด้วยเกรด 88% จากนั้นสอบเข้าโรงเรียนเตรียมได้ที่ 3 ห้องคิงส์ ดังน้น drive เป็นส่วนสำคัญ ตนเองรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เลือกหมอในตอนเอ็นท์ทำให้มีคนเข้าหมอได้ 9 คน ที่เลือกเรียนวิศว เพราะมีหนังเรื่องวิศวะกระดูกเหล็ก และลองเรียนภาคคอมพ์ เพราะไม่อยากทำแบบโรงงาน

หลังเรียนจบตรี

พอได้ทุนกสิกร เลยตัดสินใจ ไปเรียน MBA รู้สึกง่ายมากเพราะเคยเรียนแต่ Hardcore math มาตลอด ชีวิตเปลี่ยนความชอบไปตลอดตามแต่สถานการณ์
จบแบบ distinction จาก Warton คนเดียวในหมู่คนจากต่างประเทศทั้งหมด เกิด momentum ในชีวิต

เขียนหนังสือจนต้องทำเอง

สำหรับการเลือก partner ดร.ก้องเกียรติเคยอ่านหนังสือและแปลเรื่องของการทำธุรกิจส่วนตัว (น่าจะขายไปไม่ตำ่กว่า 300,000 เล่ม) จากนั้นรู้สึกว่าตนเองตลกเพราะมัวแต่เขียนเลยต้องทำเองด้วย สี่ปีต่อมามาอยู่บริษัท baring ระดับโลก และเจอ fund manager ระดับโลกนับพันคน ลูกของจอร์จโซรอสก็เคยมาฝึกงานกับ ดร. ชีวิตตอนนั้นเป็น first class หมด นั่งเครื่องบินคอนคอร์ด

partner ที่เลือกเป็นลูกค้าอยู่ที่สวิส เป็นคนอิยิปส์ เกิดจากครอบครัวปานกลางและปั้นตัวเป็นเศรษฐี เรียน UCLA เป็นเด็กปั๊ม คนนี้เอาเงินมาลงให้ประมาณหมื่นล้านบาทในปี 1992 เพื่อให้ ดร. ให้คำแนะนำ ระหว่างเรียนหนังสือได้รู้สึกลูกของ Prince คนหนึ่ง และเป็นนายหน้าที่ดิน นายหน้าเอา becktale อเมริกาเข้ามาเป็นจุดพลิกผัน เป็นคนที่รู้จักผู้นำประเทศทั้งหมด ในไทยก็รู้จัก ป๋าเปรม และคุณทักษิณ ไปรัฐเซียก็สนิทกับปูติน

เมื่อสนิทกันมาก ( ขนาดให้ยืมเครื่องบินส่วนตัว ) จากที่ ดร เป็นโบรกเกอร์ เลยดึงมาทำงานด้วยเลยพร้อมเฮียตึ๋ง หลักากร Self Explanatory เมื่อออกจาก Baring เลยลงกันคนละส่วน 1 ใน 3

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการบริหารคือการบริหารคน

คนที่มาทำงานที่บริษัท จะต้องไปที่ฝ่ายวิจัยก่อน จากนั้นจะไปเป็นวานิชธนกรก็ได้ ไปฝ่ายลงทุนก็ได้ จะไปอยู่ private banking ก็ได้

นโยบายการ take risk

การ take risk ที่สำคัญมากที่สุดคือการซื้อหุ้น ไทยคมทั้งๆที่ดาวเทียมยังไม่ยิงขึ้นฟ้า และเมื่อดาวเทียม Broadcast แล้วภายในสองวันขายทิ้งหมดเลย ถ้าเจ๊งคือตอนนั้นเจ๊งเลย

เวลา take risk ต้องรู้ว่าบริษัทนั้นคืออะไร และลงเงินสูงสุดโดยไม่ชอบกระจายกระจายความเสี่ยง เช่นบางทีซื้อเพียงสองหุ้นถึง 90%

เป็นคนโชคดีที่หนีทัน ในตอนปี 40 ก่อนเศรษฐกิจ crash ตัดสินใจขายหมดทั้งๆที่บางอย่างราคาไม่ดี จากนั้นเอาเงินมาให้แบ๊งค์ชาติกู้เข้ากองทุนฟื้นฟูได้ดอกเบี้ย 18%

สิ่งที่เสี่ยงและไม่กล้าทำมากที่สุดคือการทะเลาะกับภรรยา เพราะมีแต่แพ้อย่างเดียวและอยากให้ลูกๆมีความสุข

เป็นคนที่ชอบขับรถเร็ว ในกทม น้อยคนจะแซงได้ มี Bentley GT Speed วิ่งได้ 340 เส้นบางปะกงเคยเหยียบ 270

การมองยาวให้มอง ethics มองสั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

management และ ethics ความจริงไปด้วยกันได้ เพราะทุกอย่างต้องมีต้นทุน เราจะไม่เอาด้านหนึ่งมากเกินเพื่อไป compromise อีกด้าน ถ้าไม่ ethics อย่างไรวันหนึ่งก็ต้องมีคนขุดเจอจนได้ซักวัน เราต้องเริ่มจาก ethics แล้ว follow ไปเรื่อยๆจนถึงภาพใหญ่ จากนั้นจะพูดได้เต็มปากจากสิ่งที่ทำมา บริษัทไม่มีนโยบายใต้โต๊ะเลย และจะเห็นได้ว่า ASP ไม่เคยทำงานกับรัฐวิสาหกิจเลย 😛

การสะสมงานศิลป

การสะสมงานศิลป ของ ดร เป็น long term investment ดังนั้นจึงไม่มีจังหวะการซื้อเพราะมองนาน แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อในสมัยเด็กๆ ว่าเป็นคนยังไง บังเอิญคุณพ่อ ดร เป็นนักถ่ายรูปและทำประกันด้วย พ่อให้สะสมสแตมป์แต่เด็ก และซื้อเอ็นไซโคพี่เดียสแตมป์ทั้งโลกให้ ดูราคาแต่ละดวงทำให้ติดมาด้วย

งานที่เลือกเราต้องชอบก่อน และมีเอกลักษณ์ งานบางงานเป็น commercialize เกินไป บางงานศิลปินเขียนไม่ต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าไม่สูงขึ้น ต้องลองเจอคุณเฉลิมชัย และมีการซื้อตรงจากศิลปินรุ่นใหม่ๆ ลงทุนไปหลักสิบล้าน แต่ Market Value น่าจะเป็นร้อยล้านแล้ว และมีการจัดประกวดเข้าหอศิลป์

ตอนนี้เริ่มไปซื้องานต่างประเทศเพราะงานไทยเริ่มแพงเกินไป และได้ไปสเปน งานชิ้นที่แพงที่สุดที่เคยซื้อคือห้าล้าน และตอนนี้ซื้อตึกเจ็ดชั้นไว้เก็บของ

ข้อแนะนำการลงทุน

ข้อแนะนำด้านการลงทุน นอกเหนือจากสต็อก ให้ลงทุนหลายแบบหลายสกุล เมื่อถึงจุดที่มีอิสระด้านการลงทุนควรกระจายไปพอสมควร เช่น ตราสาร คอนโด ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซื้อจิวเวลรี่ (ในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจ ก็ไปซื้อไว้เต็มเลย) หลักในการซื้อของคือต้อง Top และแพง เพราะปล่อยง่ายที่สุด ถ้าเป็นเพขรต้อง DH ทองมีบ้างแต่ไม่ค่อยชอบ ชอบเป็นกระดาษมากกว่า

philosophy คือ stay liquid regardless of situation สามารถที่จะเปลี่ยนทรัพสินท์เป็นเงินได้หมด ภายใน 1 week สามารถเปลี่ยนบริษัทเป็นเงินได้ 75%

เรามีเงินสด 200 ล้านบาท ชีวิตก็จะสบายแล้วตลอดชีวิตโดยไม่รบกวนใคร ถ้ามีมากกว่านี้จะเป็นส่วนที่สร้างปัญหาให้คุณ ตอนนี้ ดร มีมากกว่านั้นแต่ทำด้วยความมันส์มากกว่า เพราะวันไหน retire จะเฉาตายทันที
และเมื่ออายุมากแล้วตาฝ้าฟาง จะรู้สิกว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

มุมมองต่อไทย

สภาพสังคมไทย เมืองไทยขณะนี้เป็น downside risk ไม่ว่ามี solution อะไรออกมาจะเจ็บปวดแน่นอน เรียกได้ว่า River of no return ดร รู้จักทุกคาร์แรกเตอร์การเมืองทุกสี และรู้จักในฐานะเพื่อนและนักธุรกิจมา 20-30 ปี แต่กลับเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นศัตรูได้อย่างงงๆ ต้องมี catalyse ที่แรงมากบ้านเราถึงจะกลับมาดีเหมือนเดิมได้ ดร. ก้องเกียรติรู้ข้อมูลเยอะมากและดูแล้วไม่ค่อยดี น่าเสียดายที่เราไม่มี Leader ดีๆ อย่างสิงคโปร์ฮ่องกง

ช่วงนี้แบ๊งค์ชาตเปิดโอกาสให้ลงทุนนอกประเทศได้มาก ดังนั้นอันนี้จะเป็นโอกาสที่ได้เปิดหูเปิดตาไปต่างประเทศ

อุบัติเหตซึนามิคร้งนี้ที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ความจริงน่าจะเป้นโอกาสด้ประโยชน์เรื่องฐานการลงทุนได้มาก แต่เค้าก็ไม่กล้าเข้ามา

ระบบแย่อย่างนี้ อยากเข้าไปช่วยเหลือ แต่ไม่ควรจะเข้า การเข้าไปยากมาก คนที่จะเสียสละไม่สามารถอยู่ในระบบที่เละเทะได้ ดังนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ แต่การเปลี่ยนแปลงหมายถึงการถอยหลังสักครั้งนึง ดร.ก้องเกียรติ ไม่มองบวกเลยแม้แต่น้อย

การเลี้ยงลูก

ในเรืองลูก สมัย ดร เรียน วปอ ก็พาลุกไปตีกอล์ฟบ่อยๆ ให้ลูกทำกิจกรรมเต็มที่ ตัวเค้าจะดูลูกได้ใกล้ชิดแต่ก็ยาก ทุกปีจัด private tour ของครอบครัว ทุกอย่าง 5 ดาวหมด จัดรถโค๊ช ลูกสาวคนเล็กอายุ 14 ไปมา 24 ประเทศแล้ว ไปแล้ว enjoy ได้อยู่ด้วยกัน การเลี้ยงลูกจะกันไม่ให้สนิทกับเพื่อนกลุ่มเดียวเกินไปเพราะมีความเสี่ยงสูง

เมื่อลูกมีพ่อแม่รวย ต้องต้อง objective ให้ลูกผ่าน ABCD ให้ไปเทรนข้างนอก หรือไปต่างประเทศ ไปอยู่กับเพื่อนนานาชาติ ให้รู้จักคนเยอะๆ จุดนี้จะทำให้เกิด drive ขึ้นมาเอง อย่าให้อยู่กับเราตลอดเพราะเค้าจะเบนๆออกจากเรา

ความสุขที่สุดน่าจะเป็นการได้เงิน 1 ล้านบาทครั้งแรก เพราะพอได้สิบล้านบาทต่อมาไม่รู้สึกขนาดนั้น และความสุขสุดท้ายคือทำให้คนอื่นมีความสุข

ตอนนี้อยากเขียนหนังสือให้คนมีคุณภาพซึ่งครอบคลุมหลายเรื่องมาก ไม่ใช่แค่การศึกษา , ethics , และอีกหลายอย่าง