ผู้พิพากษา : ความเอียง

เห็นคุณ mk เอาชาร์ทมาให้ดู น่าสนใจมากครับ เป็นชาร์ทแสดง “ความเอียง? ในการตัดสินคดีของศาลฎีกาอเมริกา
ผมรู้สึกทึ่งที่เมืองนอกเค้าสามารถเปิดเผยผลการวิเคราะห์เหล่านี้ได้ ลองอ่านที่มาต่อได้ที่เว็บคุณ mk

เป็น visualization แบบแปลกๆ ที่นานๆ จะเจอที นั่นคือ visualize ?ความเอียง? ในการตัดสินคดีของศาลฎีกาอเมริกา วิธีการคือดูแยกตามการตัดสินใจของผู้พิพากษาศาลสูงแต่ละตำแหน่ง ว่าคนไหนตัดสินใจแบบอนุรักษ์นิยมหรือหัวก้าวหน้า คนไหนฟ้าก็ฟ้าเลย คนไหนแดงก็แดงเลย

visualize ?ความเอียง? ในการตัดสินคดีของศาลฎีกาอเมริกา
visualize ?ความเอียง? ในการตัดสินคดีของศาลฎีกาอเมริกา

ข้าราชการตุลาการในไทยเป็นอะไรที่ค่อนข้างลอยตัวอย่างมาก ไม่ค่อยมีหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการได้เลย ในช่วงวิกฤติการเมืองที่ผ่านมาจะเห็นว่าวงการตุลาการเป็นอะไรที่มีอิทธิพลอย่างมากจริงๆครับ (ถึงแม้ว่าเพื่อนบางคนจะบอกว่า ระบบนี้กำลังถูกสะสมด้วยสิ่งกัดกร่อนก็ตาม) เด็กที่เอ็นทร้านซ์คะแนนอันดับหนึ่งก็ยังเลือกนิติศาสตร์กันแล้ว ในความเป็นจริงผู้พิพากษาน่าจะเป็นอาชีพที่ควรปลีกตัวออกห่างสังคมเพื่อป้องกันผลประโยขน์ทับซ้อนโดยผลตอบแทนเงินเดือนที่ได้รับ ( ซึ่งค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับข้าราชการหน่วยอื่น ) เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความยากลำบากจากการต้องปลีกตัวต่อสังคม แต่ในความเป็นจริงสมาคมต่างๆนั้นประกอบด้วยกลุ่มผู้พิพากษาอยู่ไม่มากก็น้อยครับ

คุณพ่อผมก็เป็นผู้พิพากษาเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเด็กๆเท่าที่ผมจำความได้ตอนที่คุณพ่ออยู่ต่างจังหวัดผมมักจะมีอาเสี่ย หรือนักธุรกิจประจำจังหวัด มาคอยประคบประหงมผู้พิพากษาอยู่เป็นประจำ แม้แต่ตัวผมเองยังถูกเรียกว่าคุณหนูอยู่บ่อยๆ จนผมรู้สึกว่าคุณพ่อเป็นฮีโร่และเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม จนกระทั่งคุณพ่อแยกทางกับคุณแม่ช่วงม.ปลายของผมนั้นทำให้ผมปรับความคิดจนมารู้สึกว่าคุณพ่อจริงๆแล้วก็มีความเป็นคนธรรมดานั่นเอง ต่อมาผมอยู่กับแม่และมองย้อนกลับไปที่ครอบครัวใหม่ของคุณพ่อก็ทำให้รู้สึกว่าอาชีพนี้ดูเหนือกว่าข้าราชการส่วนอื่นตรงความลอยตัวอย่างชัดเจน คุณพ่อมีสวัสดิการมากมาย มีเงินสนับสนุนซื้อรถประจำตำแหน่ง (เพิ่มเงินอีกหมื่นเดียวก็สามารถผ่อน BMW ซีรี่ส์สามได้สบาย) และเกษียณที่อายุถึง 70 ปีซึ่งปัจจุบันคุณพ่ออายุมากกว่าหกสิบปีแล้วและเงินเดือนนั้นมากกว่านายกรัฐมนตรีไทยซะอีก คุณพ่อเพิ่งกลับจากดูงานที่อังกฤษมาสองอาทิตย์ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลอังกฤษให้ทุนจากการไปดูงานครั้งนี้รวมกันแล้ว 2ล้านบาทต่อคน ! ปกติคุณพ่อไปดูงานแทบทุกปีครับ ปีที่แล้วก็ไปสวิสฯมา

คุณพ่อเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใครซึ่งก็เป็นปกติของอาชีพที่ต้องพบเจอแต่คนโกหกตลอดเวลา ( แม้แต่ผมขอยืมตังค์มาหมุนในบริษัทคุณพ่อก็ยังไม่ให้ยืมเลย ) พอผมอายุมากขึ้นก็เริ่มได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อแบบฉันเพื่อนบ้างผมเลยถามประเด็นที่มีอยู่ช่วงหนึ่ง คือก่อนหน้านี้ไม่นานคุณพ่อเชียร์คุณทักษิณมากทีเดียว ไม่ว่าคนในตระกูลจะว่าอย่างไรคุณพ่อก็เชียร์เสมอ แต่พอผ่านมาในปัจจุบันคุณพ่อเปลี่ยนทัศนะคติเรื่องนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมก็ถามคุณพ่อว่า ทำไมถึงเปลี่ยนใจเป็นอย่างงั้นไปได้ ก็ได้คำตอบที่คุณพ่อยอมรับตรงๆว่า “ผู้พิพากษาก็เป็นคนเหมือนกันนะ ย่อมมี Bias ได้ ” ผมก็ถามต่ออีกว่า แบบนี้คนที่เป็นจำเลยก็ขึ้นอยู่กับดวงน่ะสิว่าเค้าจะเจอผู้พิพากษาคนไหน ?

ซึ่งคุณพ่อก็ตอบว่า ” ใช่ ” …