คนจีนทำไมรวย คนไทยทำไมจน

จากบล็อกเก่าที่ผมไปแม่สายและเคยคุยกับคนพม่า เขาบอกว่ากรุงเทพฯนั้นโดนจีนยึดไปแล้ว มีความเกี่ยวพันที่น่าสนใจกับบล็อกนี้ เพราะมีผู้ตั้งคำถามมาตลอดว่า คนจีนทำไมรวย คนไทยทำไมจน ซึ่งคำตอบที่เราเคยได้รับมาเสมอคือ คนจีนมักจะขยันกว่า แต่จากการไปเยี่ยมเพื่อนบ้านในภูมิภาค AEC เหมือนกัน กลับไม่พบว่ามีคนจีนเหนือกว่าคนท้องถิ่น เป็นที่มาของคำถามว่า สาเหตที่คนจีนรวยกว่าในไทย มีแค่ขยันจริงๆหรือ?

สำหรับคนที่อยากรู้ประวัติศาสตร์ชาวจีนในไทย ผมแนะนำ พิพิธภัณพ์วัดไตรมิตร ครับ เดินจาก MRT หัวลำโพงไม่นาน ภาพสองภาพนี้จากลิงก์ http://www.busbuddythailand.com/smf/index.php?topic=624.0

yaowaraj

chinese

สนทนา คนจีนทำไมรวย คนไทยทำไมจน

จากสเตตัสเฟสของ @macroart https://www.facebook.com/macroart/posts/10151770832015469
เจอคนทวีตไว้น่าคิดประมาณว่า คนจีนหอบเสื่อผืนหมอนใบมาที่ไทย ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีที่ดิน ไม่รู้จักใคร แต่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นเจ้าสัวร่ำรวย หรือถึงแม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็ถือว่ามีฐานะปานกลาง สังเกตได้จากชนชั้นกลางจำนวนมากมีเชื้อสายจีนอยู่ แต่ชาวนาไทย มีที่ดินทำกิน มีเครือญาติมากมาย แต่ทำไมถึงยังจนอยู่ ถึงขนาดที่รัฐต้องเอาภาษีของคนทั้งชาติไปช่วย

สมัยก่อนคนไทยชอบดูถูกคนจีนว่าพวกเจ๊ก ส่วนคนจีนก็ดูถูกคนไทยว่าขี้เกียจ หรือว่าความขี้เกียจคือสาเหตุที่ทำให้คนจีนในไทยร่ำรวยและชาวนาไทยยากจนจริงๆ?

คนไทยมีทั้งที่เป็นชนชั้นเจ้าขุนมูลนายและชนชั้นไพร่ ส่วนคนจีนก็มีทั้งที่เป็นพ่อค้าตั้งแต่ยุคก่อนรัตนโกสินทร์และที่หอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาเป็นกุลีในยุครัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นยุคที่ระบบไพร่จางลงไปแล้ว ซึ่งผมมองว่าคนจีนที่คุมราคาข้าวอยู่ในตอนนี้คือลูกหลานของคนจีนที่อพยพมาในยุครัชกาลที่ 6 นะครับ เราน่าจะเทียบจุดเริ่มต้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นยุคที่คนไทยเลิกระบบทาสและไพร่แล้ว พร้อมๆ กับที่คนจีนอพยพเข้ามาเป็นกุลีแทนคนไทย เวลาผ่านไปร้อยปี ทำไมคนจีนถึงขึ้นมาคุมคนไทยได้?

////

คอมเม้นท์ที่รวบรวมมา

iPattt: ชาวจีนที่ร่ำรวยนั้น มีหลายคนร่ำรวยมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ครับ จากกฎหมายตราสามดวง. 2506 : 205-207 ทำให้คนไทยต้องเข้าไปรับใช้นายสามเดือนเว้นสามเดือน และสมัย ร.5 ก็มีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารออกมา สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในอาชีพของคนไทย เพราะคนไทยไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

และการที่ชาวจีนขึ้นมากุมเศรษฐกิจ เพราะว่าเมื่อชาวจีนร่ำรวยขึ้นมาก็นิยมแต่งงานกับคนเชื้อสายเจ้าในไทย ทำให้จากความร่ำรวยเริ่มมีอำนาจมากขึ้นด้วย เรื่องนี้เป็นค่านิยมอยู่พักหนึ่งเพื่อคานอำนาจทางการเมืองทางทหารอยู่ด้วยเช่นกันครับ (ในเรื่องแรงเงายังมีเรื่องนี้อยู่เลย) ซึ่งการกลืนไทยจีนเป็นเนื้อเดียวกันนั้นเพิ่งสำเร็จไม่นานนี้ครับ สมัย ร.8 จีนกับไทยเพิ่งเลิกตีกันไปเอง

ถ้ามองอีกมุมจะเห็นว่าผู้ปกครองชาวไทยนั้นให้โอกาสคนจีนในอดีตด้วยพอสมควร ลองมองในมาเลเซีย ชาวจีนถูกกดไว้มาก แม้โอกาสที่จะได้เข้าเรียนหนังสือยังยากเพราะถูกบังคับเรื่องภาษาด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ก็ยังถูกกดไว้อยู่ครับ ส่วนหนึ่งคนไทยก็ผูกพันกับคนจีนมานาน อย่าลืมว่าพระเจ้าตากสินก็เป็นคนจีนเหมือนกันครับ ถ้ามองรอบภูมิภาคก็จะเห็นว่า คนจีนโชคดีที่อยู่ในเมืองไทย ตอนนี้คนที่รวยที่สุดในมาเลเซียก็ยังเป็นคนมาเลเซียอยู่ครับ

/////

Macroart: ประมาณว่าถ้าจะเทียบคนจีนที่ทำมาค้าขายร่ำรวยตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 5 ก็ควรเทียบกับคนไทยที่เป็นเจ้าขุนมูลนายสมัยนั้น แต่ถ้าจะเทียบคนจีนที่อพยพมาแบบตัวเปล่าในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็น่าจะเทียบกับชาวนาไทยที่เป็นรากหญ้าในสมัยนั้นเช่นกัน ในช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชาวนาไทยยังจนอยู่ และอะไรทำให้กุลีจีนรวยขึ้นมา แน่นอนว่าชาวนาบางคนก็รวยขึ้น และคนจีนบางคนก็ยังจนอยู่ แต่ภาพโดยรวมที่เรามองเห็นคือลูกหลานชาวนาไทยยากจน ขณะที่ลูกหลานกุลีจีนเป็นชนชั้นกลาง

ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา มีกฎหมายอะไรที่กดขี่ชาวนาไทย แต่ให้อภิสิทธิ์แก่กุลีจีนหรือเปล่าครับ?

หรือจริงๆ แล้วชาวนาไทยไม่ได้ขี้เกียจ “ทำงาน” หรอก แต่ขี้เกียจ “เปลี่ยนแปลง” มากกว่า เพราะในน้ำมีปลาในนามีข้าว จะดิ้นรนไปทำไม ขณะที่คนจีนอพยพมาเป็นกุลี พุ้ยข้าวต้มกับกรวดคลุกเกลือ ทำให้รู้สึกว่าต้องดิ้นรนมากกว่า และต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงรู้จักปรับตัวได้ดีกว่า

แต่ในยุคหลัง ลูกหลานชาวนาไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยการทำโรงงานแทนทำนา แต่มันเป็นยุคที่ลูกหลานกุลีจีนเป็นเจ้าของโรงงานไปแล้ว
////

Smith Mangmeetakun: ประเด็นที่ผมมองคือ “คนจีนร่ำรวยจากการทำมาค้าขายครับ” ในขณะที่คนไทยดั้งเดิม “ร่ำรวยจากการรับราชการ” เนื่องจากการปกครองในอดีตเป็นแบบรวมศูนย์การปกครองไว้ที่ส่วนกลาง ดังนั้นจะเห็นว่าวิธีชีวิตคนไทยที่ร่ำรวยในอดีตคือรับราชการ จึงเป็นที่มาของคำว่า “เป็นเจ้าคนนายคน” เจ้าขุนมูลนายที่ร่ำรวยในสมัยก่อนก็เพราะที่นาให้เช่า หรือทรัพย์สมบัติจากการทำราชการ คนจีนที่อพยบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจะเข้ารับราชการก็คงไม่ง่าย ดังนั้นการทำการค้าจึงเป็นหนทางเดียวในความร่ำรวย หรือถ้าไม่มีทรัพยสมบัติก็เป็นกุลีใช้งานไปก่อน จนเก็บเงินได้ก็เริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ ค่อย ๆ เติบโตขึ้น ในขณะที่ชาวนาก็มีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไปเราจึงพบว่า คนจีนค่อย ๆ ร่ำรวยขึ้น ในขณะที่ชาวนาก็รวยเท่าเดิม (ไม่รวยไม่จน) แต่คนกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ จนลง คนกลุ่มนั้นคือพวกรับราชการ ตำแหน่งใหญ่ ๆ โต ๆ ที่ทำมาค้าขายอะไรไม่เป็น ซึ่งคนพวกนี้ทรัพยสมบัติก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง ในขณะที่การปกครองก็เริ่มเปลี่ยนจากระบบกษัตริย์เป็นระบบปัจจุบัน (จนเป็นที่มาของนิยายหลายเรื่องที่พูดถึงเรื่องผู้ดีตกยาก)

Macroart: ตอนที่อาจารย์โพสต์เรื่องไพร่ ผมกำลังอ่านเรื่องนี้ใน Wikipedia พอดีครับ เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าระบบไพร่เริ่มจางลงในยุครัชกาลที่ 5-6 ซึ่งมันตรงกับยุคที่ประเทศจีนมีความวุ่นวายจนคนจีนต้องอพยพมาอยู่ไทยกันครับ ทีนี้พอรัชกาลที่ 5 มีนโยบายเลิกทาส แต่ประเทศก็ยังต้องการชนชั้นแรงงานอยู่ คนจีนที่อพยพเข้ามาเลยต้องทำอาชีพกุลีกัน สิ่งที่น่าสนใจคือทำไมกุลีจีนสามารถร่ำรวยขึ้นมาได้ใน 2-3 ชั่วคน หรือบางคนเก่งกว่านั้นก็แค่ชั่วคนเดียว แต่ทำไมชาวนาไทยที่เคยเป็นไพร่มาก่อน เขาถึงยังยากจนกันอยู่ เป็นเพราะคนไทยขี้เกียจกว่าคนจีนจริงหรือเปล่า? เป็นเพราะชาวนาไทยถูกนายทุนจีนกดขี่จริงหรือเปล่า? หรือเป็นเพราะปัจจัยใดกันแน่?

////

iPattt: อันนั้นผมว่าต้องมาดูเป็นตระกูลๆไปครับ รัชกาลที่ 6 เพิ่งเสวยราชสมบัติเมื่อปี 2453 หรือประมาณร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง ผมไม่แน่ใจว่ามีตระกูลไหนเพิ่งรวยในช่วงนี้จากการอพยพมาบ้าง ทราบแต่ว่าชาวจีนนิยมส่งลูกเรียนสูงๆ และมีสิทธิพิเศษด้านภาษีจากการค้าขาย (ก่อนหน้านี้มีระบบ”เจ้าภาษีนายอากร ซึ่งให้ประโยชน์แก่ชาวจีนเป็นส่วนใหญ่) อย่างตระกูลล่ำซำนั้นรุ่นที่สองก็ 2475 และมีคนชั้นสูงชาวไทยร่วมด้วย

ปัญหาระบบจำนำข้าวที่หลายคนไม่เห็นด้วยนั้น มีประเด็นของคุณอัมมาร สยามวาลา ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ จริงๆชาวนาไม่ได้ยากจนกันหมด ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่นโยบายนี้จะเอาคำว่าชาวนามารวมกับคำว่ายากจน http://tdri.or.th/tdri-insight/waymagazine_ammar/

ไปหาข้อมูลเพิ่ม อ.นิธิกล่าวว่า สมัย ร.6 ชาวจีนได้ประโยชน์จากระบอบจักรวรรดินิยม เกิดเป็นชนชั้นกลางไทยขึ้นมา (ลอง clt+F หาคำว่า “พ่อค้าชาวจีน” ) http://prachatai.com/journal/2007/11/14772

อำนาจทางเศรษฐกิจ อาจจะเป็นอำนาจเดียวที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สามารถแย่งชิงมันมาได้ เพราะอยู่ในมือฝรั่ง ฝรั่งเป็นผู้ลงทุนให้เรา เป็นระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ภายใต้อำนาจของฝรั่ง แต่อย่างไรก็ตามมันก่อให้เกิด “ชนชั้นกลาง” ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันหนึ่งคือมันก่อให้เกิดพ่อค้าคนจีน ซึ่งมีความแปลกประหลาดมาเพราะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จาก “ระบอบจักรวรรดินิยม” ปลดปล่อยพ่อค้าคนจีนให้มีเสรีภาพในการค้าขายระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นพ่อค้าคนจีนย่อมไม่เป็นศัตรูกับฝรั่ง นอกจากเป็นมิตรกับฝรั่งแล้วก็ยังเป็นมิตรกับชนชั้นปกครองไทยเองด้วย เป็นมิตรกับ “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ด้วย เพราะร่วมกันหาประโยชน์ทางการค้า

กลุ่มที่ 2 ต่อมาก็คือชนชั้นกลางมีการศึกษาสูงขึ้นมาและเป็นกลุ่มข้าราชการ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพันธมิตรที่แนบแน่นกับ “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นคือส่วนระบบราชการแบบใหม่ สร้างคนกลุ่มนี้ขึ้นมาอย่างแนบแน่นกับระบบการปกครอง

ชนชั้นกลางไทยแม้จะเป็นพ่อค้าก็จริง แต่ก็เป็นพ่อค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวอำนาจค่อนข้างมาก หรืออีกทีก็คือมีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนการเมืองของกลุ่มข้าราชการ ก็เป็นการเมืองของชนชั้นกลางเพื่อแย่งทรัพยากรให้มาอยู่ในมือของหน่วยงานตนเองหรือตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เช่น งบประมาณ

///

ผมนำเรื่องนี้มาคุยกับแม่ต่อ : คนจีนโชคดีเพราะคนไทยให้โอกาสอย่างมาก และคนไทยชอบอยู่กับระบบอุปถัมภ์มากกว่า สิ่งที่เหมือนกันของคนจีนและคนไทยในช่วงที่เข้ามาคือ มีที่ดินเป็นของตนเองน้อย ที่ดินเป็นของคนไทยชั้นสูงมากกว่า แต่คนไทยไม่ต้องดิ้นรนเพราะระบบอุปถัมภ์ บางคนอยู่ในภาคการผลิต และคนจีนมีประสบการณ์เรื่องการเดินทางก็ทำการค้าระหว่างประเทศ ส่วนสังคมชั้นสูงก็กลืนกับคนจีนที่ทำการค้าไปมากมายเพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์จากระบอบจักรวรรดิและสมบูรณาญาสิทธิราช ส่วนคนจีนที่เสื่อผืนหมอนใบไม่ประสบความสำเร็จมากก็มีเยอะ ที่อพยพต่อไปที่อื่นก็มี ส่วนที่เหลือก็เพียงพอที่จะกลายเป็นคนชั้นกลาง

///