ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ มหาเศรษฐีอันดับ 8 ของไทย #IntaniaLeaderShip

ผมรวบรวมมาจากกิจกรรม Intania Leadership Network ครับ หัวข้อที่พูดในช่วงนั้นคือ เปิดใจทองมา The side, you never know.

สัมภาษณ์และพูดคุยกลุ่มเล็กกับ คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)

Intania Leadership Network สัมภาษณ์คุณทองมา
Intania Leadership Network สัมภาษณ์คุณทองมา
ชาว Intania Leadership Network ถ่ายรูปร่วมกับคุณทองมา ผมเองโดนบังมิดเลย
ชาว Intania Leadership Network ถ่ายรูปร่วมกับคุณทองมา ผมเองโดนบังมิดเลย

คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ มหาเศรษฐีอันดับ 8 ของไทย

ในอดีตคุณทองมาอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะไม่ได้ดีมาก ดังบทสัมภาษณ์

หลังจากจบ ป.4 ก็เริ่มมองหางานทำ ซึ่งก็ทำอยู่หลายที่ เป็นลูกจ้างร้านขายยาแถวบางรัก ขายน้ำเก๊กฮวย น้ำจับเลี้ยง ต่อมาเปลี่ยนก็เริ่มมาทำร้านทองแถวประตูน้ำ ก็ทำอยู่ประมาณ 6 ปี ในช่วงนี้ ก็คิดว่าควรมองหาโอกาสที่ดีๆ ประกอบกับพี่สาวคนโต ก็อยากให้เรียนต่อ ก็ไปเรียนกวดวิชา จนสามารถสอบได้ ป.5-7 และในช่วงนี้ ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก่อน 6 โมงเย็นก็ทำงาน หลังจากนั้นก็ไปเรียนถึง 3 ทุ่ม เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ก่อนที่จะสอบเทียบชั้นเรื่อยๆ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 และเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ศึกษาอยู่ 2 ปี แล้วสอบเอ็นทรานซ์ติดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาการโยธา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อปี 2524

คุณทองมา ได้รับรางวัลจำนวนมากเช่น

Best Executive thailand จาก Singapore
Best under a billion award จาก Forbs

ยอดขายปัจจุบันของกลุ่มพฤกษา

ยอดขายปัจจุบัน 19,034 ล้านบาท
MK cap 46,563 ล้านบาท

สรุปการคุยกับคุณ ทองมา แบบเฉพาะกลุ่ม Intania Ledaership Network 50 คน

คุณทองมาเกิดที่ชลบุรี ทำงานที่กรุงเทพ โดยทำร้านขายยา และอยู่ร้านทอง จากนั้นไปเรียนสอบเทียบ ศึกษาผู้ใหญ่ที่เตรียมอุดม แล้วก็เข้าวิศวจุฬาฯในปี 2520

ตอนนั้นคุณทองมาได้ไปอ่านรายละเอียดในการเรียนแพทย์ซึ่งจะต้องใช้เงิน 200000 แต่วิศวะถูกกว่า โดยคนเรียนวิศวะใช้เงินทั้งหมด 3 ปี 30000 เท่านั้น (ความจริงคุณทองมาอ่านตัวเลขผิด) จึงเลือกเรียนวิศวะ

ผู้สัมภาษณ์ซึ่งเป็นศิษย์เก่าวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ ร่นเดียวกับคุณทองมาได้บอกว่า ปกติคุณทองมาสมัยก่อนก็ค่อนข้างเงียบไม่พูดจามากโดย Character ก็คล้ายสมัยนี้เหมือนกันครับ ( ซึ่งผมเห็นแล้วรู้สึกว่าคุณทองมา เงียบ นิ่ม ถ่อมตน ดูแตกต่างจากมหาเศรษฐีคนอื่นๆมากทีเดียว )

หลังคุณทองมาเรียนจบแล้วไปทำงานบริษัทเสาเข็ม 1 ปี
ทำบริษัทก่อสร้างสนามบินดอนเมือง 1 ปี

ในช่วงแรกๆ คุณทองมาก็ทำงานเรื่อยๆโดยไม่คิดการใหญ่อะไร จากนั้นจึงมาทำงานที่วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 2 ปี ในส่วนของ estimate งานสุดท้ายคือ the old siam ของคุณอนันต์ อัศวโภคิน (ซึ่งถือเป็นต้นแบบ) โดยคุณทองมาได้ขอความรู้จากลูกน้องคุณอนันต์บ่อยครั้ง

จากนั้นคุณทองมาได้ออกมารับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากคุณทองมาได้ทำงานในส่วนของ estimate มาก่อนทำให้รู้ต้นทุนและรู้ว่าตนเองก็ทำธุรกิจนี้ได้เช่นกัน ในช่วง 2528-2535 เรื่องการอยากรวยตอนนั้นก็ยังรู้สึกเฉยๆ ทำไปเรื่อยๆมากกว่า

การทำงานไปเรื่อยๆจะมีกำแพงปัญหาเป็นเรื่องๆของมัน

อุปสรรคคือธุรกิจรับเหมามีวัฎจักรขึ้นลงใน 2 ถึง 3 ปี การทำงานตั้งแต่ปี 28-35 นั้นทำแล้วรู้ว่าขาดทุนในช่วงขาลง ต่อมามีคนญี่ปุ่นชวนไปดูบ้าน (ให้ช่วยขับรถพาออกไปดูบ้าน) เลยเกิดไอเดียว่าถ้าเราทำรับเหมาก่อสร้างแล้วน่าจะลองทำบ้านจัดสรรจริงจัง ( ซึ่งก่อนหน้านั้น 2532 ก็เคยทำธุรกิจนี้ ไปซื้อที่ที่สุขุมวืททำทาวเฮาส์ 4 ห้อง ผลปรากฏว่าขายไม่ออก เลยโทรหาเพื่อนปรากฎว่าเพื่อนซื้อไป 3ห้อง มีลูกค้าจริงๆซื้อเพียง 1 ห้องเท่านั้น )

คุณทองมาได้มีโอกาสไปฟังนายกฯชวน หลีกภัย พูดเรื่องธุรกิจอสังหา คุณชวนบอกว่า บ้านราคาต่ำกว่า 600,000 ตอนนั้นมีความต้องการสูงมาก ซึ่งคุณทองมาก็เชื่อและลงมีหาทางสำรวจและ implement ทันที โดยตั้งแต่วันที่นายกพูดก็ไปตระเวณดูตั้งแต่รังสิตคลอง 1 มาเรื่อยๆ และให้เพื่อนที่เป็นสถาปนิกช่วยออกแบบให้ ในการเปิดบริษัทครั้งใหม่นี้ คุณทองมาได้ ใช้ Staff ชุดเดิมจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างนั่นเอง ( ทำรับเหมาก่อสร้างประมาณ 50 คน )

คุณทองมาเริ่มทำทาวส์เฮ้าส์ ตั้งแต่ปี 36 ถึง 40 และแก้ปัญหาอยู่พักหนึ่ง

เทคโนโลยี ทำให้การก่อสร้างเป็นจำนวนมากได้เปรียบ

คุณทองมาเองมีพื้นฐานก่อสร้าง อยู่ และมีแนวคิดว่าถ้าบ้านราคาถูก ปัญหาลูกค้าน่าจะน้อยกว่าเพราะไม่ได้คาดหวังมาก ส่วนนวตกรรมในการก่อสร้างมีไอเดียใหม่ จากเดิมที่ก่ออิฐฉาบปูน ใช้เวลานาน คุณทองมาจึงจินตนาการวิธีการก่อสร้างใหม่แบบ tunnel form ใช้เหล็กตั้ง ชั้นในนอกเทคอนกรีต คุณภาพดูดีกว่า การประกอบโดยใช้การหล่อที่ site ของโครงการซึ่งครั้งแรกต้องแก้ปัญหาด้านคุณภาพเล็กน้อย พอทำไปได้สองปีถึง 46 ให้คนไปดูงานที่เยอรมันเกี่ยวกับวิธีหล่อคอนกรีตและเริ่มซื้อ เครื่องจักรหล่อคอนกรีตมาทำสำเร็จรูป เทตโนโลยีสองอย่างนี้ทำให้บริษัทยากจะมีใครมาเทียบได้ในด้านโปรดักชั่น และบริษัทบริหารก่อสร้างเองทำให้ต้นทุนต่ำกว่า โครงการหนึ่งๆปรากฏว่าสร้างได้เร็วมาก 3 เดือนเสร็จ และยังแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วย เพราะสามารถผลิตจำนวนมากได้ตามระบบซึ่งถือว่าเป็นจุดที่สำคัญในการแข่งขันอย่างมาก

คุณทองมายอมรับว่าจบ engineer ไม่มีหัวทางการตลาดเลย เพียงแต่เพื่อนชวนไปดูที่และจะรู้ว่ากำไรดีไม่ดี สำหรับเรื่องโฆษณาบ้านและที่อยู่อาศัย คุณทองมาบอกว่าเจ้าอื่นเค้าโฆษณาแบบไหนก็ทำคล้ายๆแบบเค้า และปรากฏว่าโครงการแรกขายดีมากๆ พฤกษาชุดแรกทำไป 1000 หลัง เดือนนึงขายหมด ภายหลังปรากฎว่าคิดเงินโครงการผิด ทำแล้วเสมอตัว

ส่วนการซื้อที่ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องลงทุนนาน คุณทองมาใช้วิธีเจรจาเจ้าของที่ขอผ่อนเป็นงวดๆโอนที่หนึ่งส่วนจ่ายหนึ่งส่วน ช่วยลดภาระเงินทุนจมในระยะเวลานานได้ดี

โครงการที่สอง ทำ 1600 หลังก็ขายหมดเช่นกัน ปัญหาช่วงนั้นกับธุรกิจก่อสร้างเริ่มต้นคือเงินทุนน้อย ต้องพยายามให้หมุนให้ได้ เพราะถ้าสร้างกว่าจะเสร็จหนึ่งโครงการหนึ่งปีต้องใช้เงินกู้จำนวนมาก ปี 2536 ใช้ finance 5-6 แห่ง (ดอก 13% ) เพราะว่าธนาคารแทบไม่ให้กู้ จึงต้องสร้างเร็วเพราะต้องให้รอบธุรกิจเร็วทำให้เทคโนโลยีการสร้างแบบที่คุณทองมาได้พัฒนาขึ้นมามีความสำคัญอย่างมาก จาก 1 ปีเป็น 3 เดือน ( ถือได้ว่า Business Advantage มาจากความเป็นวิศวกรตัวจริง )

คุณทองมาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ต่อมาในวิกฤติปี 2540 มีลูกค้า 3000 รายในมือ คุณทองมายังส่งมอบไม่เสร็จตอนนั้นเป็นหนี้แบ๊งค์ 3000ล้าน ในจำนวนไฟแน๊นท์หกแห่งปิดไปห้า เหลือเพียงแห่งเดียว คุณทองมาจึงตัดสินใจเอาเงินเท่าที่มี (มีสิบล้านกว่าบาทในบริษัท) กับเทคโนโลยีแบบใหม่ สร้างทีละ หนึ่งโครงการ โดยหนึ่งโครงการเมื่อสร้างเสร็จและขายได้จะมีกำไร เช่นเดิอนละ 20 ห้องได้ 20 ล้าน ใช้หนี้ แปดล้าน ( 80% ของกำไร) เดือนถัดไปก็ทำ 30 ห้องและใช้หนี้ด้วยวิธีเดียวกัน

ในขณะที่วิกฤติ ความเห็นสมาคมอสังหาบอกว่าแต่ละคนควรจะอยู่เฉยๆ รอหลักทรัพย์แล้วค่อยซื้อกลับมา ส่วนคุณทองมาเห็นว่าแค่ส่งมอบบ้านให้หมด 3000 รายก็น่าจะโอเคแล้ว เพราะคนจองบ้านจ่าย 7-8หมื่นไปแล้ว ทำให้ทีมงานคุณทองมายังคงมีการก่อสร้างบ้านกันอยู่แม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ

ในปี 2542 พฤกษาได้โอนบ้านให้ลูกค้าจนหมด ( 2-3พันล้านบาท) แล้วเริ่มเหลือเงิน (ทุกๆหน่วยที่ขายไปจะเหลือเงิน 200,000 บาท)

คุณทองมาในยุคบุกเบิก รายได้ปีละ สามพันล้าน ทำครบสิบปีก็เชี่ยวชาญการตลาด

ยุคของการปรับองค์กรเพื่อขยายการบริหารจัดการ

ปี 2544 ปกติตลาดอสังหามีสามชนิดคือ ทาวเฮ้าส์ บ้านเดี๋ยว คอนโด คุณทองมาคิดว่าน่าจะทำบ้านเดี่ยวขายด้วย เลยเริ่มโครงการบ้านเดียวเพิ่มเติม ในช่วงนี้สร้างบ้าน 11000 หน่วยในขณะที่เจ้าอื่นสร้างได้ 3000 หน่วย

พอธุรกิจพ้นหลัก 3000 ล้าน การบริหารจัดการด้วยตนเองก็ไม่ไหวแล้ว คุณทองมาเลยหันมาดูเถ้าแก่คนอื่นๆบางคนทำบัญชี คุมการเงิน ่บางคนมีภรรยาหลายคนยิ่งสบาย 😛 คุณทองมาจึงเริ่มจ้าง MK ,Sale มาช่วย และให้บริหารเป็นฝ่ายๆ

คุณทองมาให้จ้าง อ.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ มาเป็นที่ปรึกษา มีการเริ่มใช้ balance score card จนธุรกิจเติบโตขึ้นมาถึง 6000 ล้านบาท จากนั้นก็เลยจ้าง Consultance อีกราย และล่าสุด จ้าง IBM มาจัด ออกาไนซ์และได้นำ Strategic Business Unit ซึ่งแบ่งองค์กรเป็นกลุ่มย่อยเล็กๆรับผิดชอบงานขายตลาดก่อสร้างร่วมทุกอย่าง ธุรกิจจึงเติบโตมาถึง 8-9000 ล้านบาท

ในขณะนั้นคุณทองมาได้ใช้กลยุทธป่าล้อมเมืองในการทำโครงการ และต่อจากIBM ก็จ้าง Consultance เป็น BCG ซึ่งจัดการเรือ่งอำนาจบริหารให้มืออาชีพทุกอย่างจนปัจจบันคุณทองมาบอกว่าไม่มีงานทำแล้ว ! และการที่ CEO ไม่มีงานทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากด้วยครับ

คุณทองมา ประกาศว่าจะเป็นเบอร์ 1 ทั้งที่ตามอันดับ 1 อยู่ห่างกันมากกว่าครึ่ง

ปี 2006 ตอนนั้นอยู่ตลาดและประกาศว่าจะเป็นอันดับหนึ่ง (ยอด 8000 ล้าน) ในขณะนั้นเบอร์หนึ่งแลนแอนเฮ้าส์อยู่ที่ 17000 ล้าน เพราะดูแล้ว บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าน่าจะเป็นเบอร์หนึ่ง หลังจากนั้นนักข่าวไปต่อเติมอีกนิดหน่อยทำให้ข่าวดูตื่นเต้นมาก

ปรากฏว่า ปี 2009 19034 แซง land and house ที่ 17000 ล้าน

ปี 2010 , 23000-24000 ล้าน และมียอดจองทั้งสิ้น 40000 ล้านโอนได้ 24000 โดยของ LH น่าจะประมาณ 18000 ล้าน

ในปี 2010 นี้มีปัญหาเรื่องการส่งมอบอาจล่าช้า แต่ละคร้งที่คุณทองมามีปัญหา ก็จะคิดแต่ว่าจะจ้างใครมาช่วย เพราะคุณทองมามีทัศนคติอยู่ที่ เชื่อคนง่าย ใครบอกเชื่อหมดเลย

เดิมการดูที่ คุณทองมาไปดูเอง ปรากฎว่าทำโครงการไป สิบแปลงเจ๊งไปสามแปลง ตอนนี้มีทีมที่รับผิดชอบในการดูที่ และมี research ในแต่ละ SBU ( Strategic business unit ) ซึ่งผลพิสูจน์แล้วว่าทำได้ดีกว่า

ที่ปรึกษาได้เปลียนพฤกษาจาก Cost Base เป็น Customer Centric บ้าน เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลางของธุรกิจ เช่นลูกค้าจะซื้อเพราะว่าอะไรบ้าง (ทำเล บริการฯลฯ) เอาหน้าที่เหล่านี้ให้ SBU ซึ่งมี 11 SBU ตาม 11 กลุ่มลูกค้า

คุณทองมา
คุณทองมา

สรุปพฤกษาในช่วงปีก่อนหน้านี้

ในส่วนของการทำทาวส์เฮ้าส์ พฤกษายังคงเป็นเจ้าตลาด
บ้านเดี่ยว มีส่วนแบ่ง 17%
คอนโดมีส่วนแบ่ง 3% และมีความเสี่ยงสูงสุดเพราะต้องสร้างเสร็จทั้งตึก กำไรคอนโดน้อยสุด
( ช่วงวิกฤษเศรษฐกิจคอนโดหายไปเลย และเพิ่งมาบูมปี 48 ต้องปรับตัวเร็วมาก )

การที่ต้องลงเล่นทั้ง ทาวเฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และคอนโด เนื่องจากต้องการบริหารให้มีส่วนแบ่งบริษัท รักษาสัดส่วนเพื่อให้ไม่สูญเสียตลาดและรักษาสภาพคล่อง

Branding พฤกษา มี 23-24 brand คุณทองมาเองยังจำไม่ได้หมด ทาวส์เฮ้า 3-4 brand พฤกษาเองมี brand corporate และใน SBU มีคนรับผิดชอบBrand ของเค้า และ endose ด้วย corporate พฤกษา

ยุคที่สาม จะเป็น regional player

คุณทองมากำลังจะทำบ้านที่อินเดีย มุมไบบังกาลอร์ หรือมัลดีฟ ขณะนี้มีส่งพนักงานไปบ้างแล้วและกำลังดูความเป็นไปได้ของแรงงานท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

สาเหตคือเมื่อสองปีสามปี เวลาบริหารองค์กร คุณทองมาก็ต้องมองไปข้างหน้าตลอดว่าอีก 7-8 ปีจะเป็นอย่างไร รักษาการเติบโตต่อเนื่องได้หรือไม่
พอคิดว่าถึง 20000 ล ก็ไม่น่าจะโตได้อีกเพราะเป็นข้อจำกัดของประเทศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจจะมีปัญหา พนักงานก็กลัวจะไม่โตเพราะไม่มี Career Path

ที่ปรึกษา BCG ได้ช่วยมองว่าบริษัทจะโตในเมืองไทยอย่างไรและโตต่างประเทศได้อย่างไร คุณทองมาเลยเชื่อและลงทุนตปท. ด้วย แต่ยังโฟกัสที่ ในประเทศก่อน และมีข่าวครึกโครมว่าปีนี้พฤกษาประกาศว่า จะเป็นอันดับหนึ่งเอเชียด้วยยอดขายแสนล้าน แต่จริงๆแล้วคุณทองมาประกาศกับพนง.ภายในองค์กร โดยคำนวนจากจากอัตราการเติบโต

การบริหารงาน

พฤกษาเอง มีทุนจดทะเบียน 2200 ล้าน และยึดหลัก risk management, culture, partnership ในการดำเนินกิจการเสมอมา

การบริหารงานแบบ SBU
HR บัญชี IT เป็นต้อง support ให้กับแต่ละ SBU
SBU มี Marketing Sectment ตายตัวเช่น บ้านเดียวต่ำกว่าสามล้าน ทำให้แต่ละ SBU ไม่ตีกัน มีการสับหลีกกันพอสมควร หรือบางจุดก็ให้ไปทับซ้อนเช่นทาวเฮ้าส์ต่ำกว่าล้านและล้านกว่า
ให้ SBU ไปอยู่ด้วยกันเพื่อให้คงความหลายหลายของมัน

การเลือกคน ตอนพนักงานระดับ 1000 คนก็มีสัมภาษณ์พูดคุยทั่วไป
ดูความน่าเชื่อถือของคนสัมภาษณ์ คนไหนท่าทางรับผิดชอบก็ใช้เลย
ในองค์กรมีการดูแลพนักงาน มี SBU และระบบพี่เลี้ยง
ถ้าพนักงานเก่งก็ดีอยู่แล้ว แต่พนักงานที่กลางๆก็มีระบบดูแล training coachingทำเป็นทีมให้ดูแลใด้
คุณทองมาในอดีตจะเลือกคนทำงานเก่งๆ แต่ปัจจุบันยึดหลักว่าพนักงานธรรมดาๆน่าจะไปกับเราได้
แต่พอมีพนักงาน 2000 คนต้อง มีระบบพี่เลี้ยงถึงจะทำได้

มีการประเมิน “พฤกษา culture ” ด้วยตัวพนักงานเอง และให้หัวหน้าประเมินด้วย ตัวนี้จะเป็น score และ ใน KPI มี culture นี้อยู่ 10%
การจัดซื้อมีกรรมการ, โครงการใช้งบประมาณโครงการอย่างละเอียด break มา เช่นบ้านหนึ่งหลังใช้กระเบื้องกี่แผ่น ฯลฯ การซื้อของจะโปร่งใสตายตัวโกงได้ยากมาก เพราะคุมด้วย IT ,SAP ( โดยปกติผู้รับเหมาทั่วไปไม่ได้ตั้งงบประมาณดีพอ เลยมีปัญหา )

เกี่ยวกับคุณทองมา

คุณทองมาความจริงแล้วไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะรวยเลย ( พิธีกรถามว่าแน่ใจหรือนี่! )
Drive เป็นเรื่องของการนำพาองค์กรไปข้างหน้า
และการอยากให้ผู้ถือหุ้นและพนักงานมีความสุข
ปัจจุบัน พนง 2500 คน และ subcontract 30000 คน

เรื่องเครียดนั้นมีมาตลอดเวลา
การคลายเครียดใช้หนังสือธรรมะ ซึ่งอ่านแล้วจะขยันมากขึ้นเพราะว่าจะปล่อยวางได้มากขึ้น
เป็นคนที่เชื่อง่าย (หลังวิเคราะห์ว่าน่าจะใช่) – มองโลกแง่บวก – พยายามให้ถึง

มรรค 8 ศีลสมาธิปัญญา เป็น culture ของบริษัท ซึ่งคุณทองมานำมาบิดเล็กน้อยให้เข้ากับการทำงาน
พนักงานต้องมีเมตตาให้ลูกค้าและมีความตั้งใจเพียรให้ลูกค้า
รูปธรรมนามธรรม สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ใจรักเมตตาอยากช่วยเหลือ
สติสมาธิ เพียรพิจารณากลั่นกรองสิ่งที่แก้ปัญหาให้ลูกค้า
ดำริ คิดพิจารณาไตร่ตรอง รู้แจ้งชอบ ลงมือปฎิบัติสิ่งนั้นๆ
ศีลมีหลายแบบ กายชอบวาจาชอบ ให้ไม่เบียนเบียนกัน สติสมาธิอยู่ที่เรื่องที่เกี่ยวข้อง

และข้อคิดคือ ” การมีชีวิตอย่ทุกวันอย่างรู้ความหมายของชีวิต จะทำให้มีความสุข ”

ขอขอบคุณ คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และทีมงาน Intania LeaderShip Network นำโดยพี่เล้ง