ผ่านไปแล้วครับสำหรับงาน ignitebkk ของผม สำหรับสไลด์ดูได้ที่ http://www.flickr.com/photos/tags/ignitebkk/ ครับ
วันที่ผมพูดคือวันแรก (วันที่ 3 มีค 2553 ) ผมทำงานมาเต็มที่ 2 วันไม่ค่อยได้เตรียมซ้อมพูด #ignite เท่าไหร่ ( ความจริงไม่เคยซ้อมครับ 😛 ) แถมทำสไลด์ iHear ตอน ตี 3 เสร็จ 7โมงเช้าของวันงาน Export เป็น Jpeg 20 รูปก่อนส่งให้ @osara จากนั้นนอน 2 ชั่วโมง ก่อนตื่นไปทำธุระต่อและยังไปซ้อมดนตรีกับพี่ป๊อดและคุณสุเทพ วงศ์กำแหง แต่ด้วยความที่ผมก็เคยเป็นวิทยากรมาบ้างเป็นที่มาของความนิ่งนอนใจครับ…
รถติดอยู่กว่า 2 ชั่วโมงมาถึงงานก็ทำการเช็คอินสถานีพร้อมพงษ์เพื่อลุ้น Swarm Badge ( แต่สงสัยแป๊กเพราะไม่ถึง 50 คน ) จากนั้นก็ขึ้นไปที่ TCDC Checkin เข้างานและได้ ignite Badge มาด้วย 🙂
พอเริ่มเข้าไปก็โดนพี่เอ๋อ @iwhale psycho ก่อนเลยครับว่า ทุกคนเค้าซ้อมกันมานะ และ พูดเป็นชั่วโมงมันง่าย แต่พูด 5 นาทีเนี่ยมันยาก และ ทุกคนที่พูดวันนี้จะนำไปโพสโชว์ทั้งโลกเลย ! แต่ผมก็ยังคิดว่าตนเองไม่น่ามีปัญหาอยู่เพราะพอมีประสบการณ์การพูดมาหลายงาน ( @tongkatsu ลองจับชีพจรตนเองดูพบว่าเร็วกว่าผมมาก )
session แรกเปิดด้วย @ponddekd ที่พูดได้จังหวะการเปลี่ยนสไลด์ดีมาก และยังเป็นคนพูดคนแรกของ event นี้ด้วย (สรุปคือพูดคนแรกของไทย) ส่วนคนที่ผมชอบคือ @ripmilla นะเพราะว่าหัวข้อค่อนข้างท้าทายที่จะโน้มน้าว สร้างสรรค์และพูดจังหวะดีมีแนวทางที่ดี แถมมีกระโดดตะโกน”บร้า!” นพื้นสะเทือนสมเป็นผู้ที่พูดหน้ากล้องภายในระยะเวลาจำกัดมาบ่อยมาก
เมื่อฟังมาถึงครึ่งทาง ผมก็เริ่มรู้ว่า ผมเตรียมเรื่องมาไม่ค่อยเหมาะสมเสียแล้ว ทุกคนที่พูดได้ดีมีการ”ป้อน”แรงบันดาลใจให้คนฟังอย่างตรงไปตรงมาในขณะที่เรื่อง iHear ของผมนั้นออกเป็นเชิง Case Study และ How to มากกว่า เรียกว่าเริ่มต้นก็ไม่น่าสนุกเท่าไหร่แล้วและผมยังเกรงว่าจะมีคนพูดว่าขายของ (ขายวง) อีกด้วยครับ
สิ่งสำคัญในการพูด ignite
ถึงแม้ว่า kapook จะมีบทความ Present อย่างไรให้โดนใจในงาน Ignite แต่ก็เป็นบทความแปลจาก ตปท บางท่านอาจจะไม่เข้าใจเลยลองสรุปเพิ่มเติมให้ครับ
1. บรรยากาศก่อนการพูดนั้นจะทวีความตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆเพราะมีคนดังหลากหลายวงการทยอยเข้ามาในห้องเรื่อยๆ มีการทักทายกันระหว่างผู้พูด และผู้พูดที่เป็นที่รู้จักกันดีใน twitter เมื่อเห็นชาว twitter มามากขึ้นจะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวที่ตนเองพูดจะถูกใจหรือไม่ จะซ้ำกับที่เคยพูดหรือไม่ อย่างงานนี้คนมากันล้นห้องทีเดียวครับ ผู้พูดได้รับการจัดที่นั่งให้ด้านหน้าสุดและมีคนทักทายตลอดเวลาเมื่อเดินเข้ามา
2. ผู้ฟังมีความตื่นตัวในการฟังมาก ปกติคนที่เข้ามาฟังจะมีความสนุกจากการที่ได้เห็นหลายหลายคนพูดหลายหลายประเด็น และคนฟังก็จะมีสมาธิในการฟังสูงมากในช่วงแรกๆของการพรีเซ้นท์เป็นปกติอยู่แล้วครับ เหมือนเราไปฟังอาจารย์บรรยายในห้องช่วงแรกๆก็จะตื่นตัว ไม่ง่วง
3. โดยปกติ 5 นาทีแรกเวลาเราทำอะไรซักอย่างจะตื่นเต้นที่สุด เช่นการกล่าวเปิดงานหรือการบรรยายทั่วไป ดังนั้นในการสัมมนาหรือบรรยายทั่วไป 5 นาทีแรกจะเป็นพิธีกรพูดเกริ่นและแนะนำตัวให้เกิดความเป็นกันเองเพื่อปรับสภาวะความตื่นเต้นหรือความไม่ชินให้หมดไปก่อน แต่สำหรับ ignite ไม่มีเวลาทำอย่างนั้น ขึ้นบนเวทีต้องซัดเลยภายใต้วินาทีที่ยังไม่ชินกับสภาพแวดล้อม
4 การจับจังหวะ การพูดแต่ละครั้งต้องจับจังหวะก่อนเมื่อสไลด์ขึ้น แต่สไลด์อาจขึ้นมาทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าวและเวลาก็วิ่งไปแล้ว ดังนั้นถ้าเสียจังหวะกับสไลด์แผ่นแรกซึ่งสำคัญมากจะทำให้ต้องแก้กระบวนกันยาว ดังนั้นไม่ต้องรอสไลด์ขึ้น คุณสามารถเริ่มพูดได้เลยตอนได้ไมค์ครับ และรีบจับจังหวะด่วน
5. เนื่องจากเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นจึงไม่มีที่เหลือให้เราพูดเพ้อเจ้อไม่ตรงประเด็น รวมทั้งไม่มีเวลาให้พูดอ้อมเพื่อประวิงเวลาคิด ถ้าพูดผิดประเด็นหรือนึกไม่ออกกับสไลด์เท่ากับเสียเวลาไปแล้ว การพูดใน 1 สไลด์ผมคิดว่าต้องคล้ายๆการกล่าว สุนทรพจน์ 3 สุนทรพจน์ให้ได้ใน 1 สไลด์ 15 วินาที ( 3 ประโยคต่อสไลด์ ) จะดีกว่าเป็นการพูดปกติครับเพราะรัดกุมชัดเจนกว่า
6. ความไม่ชินกับระบบสไลด์ เนื่องจากที่ TCDC เป็นระบบการฉายสไลด์แบบ 2 ด้านคือด้านหลังผู้พูดกับผนังอีกด้าน แต่ผมก็ยังติดนิสัยชอบหันกลับไปมองทำให้เสียครับ
7. การแก้ปัญหารวดเร็ว ไมค์ที่รับมาลองทดสอบพูดก่อนเลย ถ้ามีปัญหาถ่านหมดหรืออื่นๆจะได้แก้ไขทัน
8 ภาพที่นำมาทำสไลด์ดีๆโดนๆมีชัยไปกว่าครึ่ง การเลือกรูปมาทำสไลด์นั้นสำคัญมากเช่นกัน ถ้าทำให้คนเฮได้ตั้งแต่เปิดภาพเราจะใช้พลังน้อยและลดความตื่นเต้น ตัวอย่างที่ดีคือพี่ @siwat ใช้รูปลิเวอร์พูลครับ สนุกมาก
9 การปรับสคริปเมื่อคนเฮ คนที่พูดเก่ง พูดได้จังหวะมากๆจะมีคนส่งเสียงเฮขึ้นมาระหว่างพูด แล้วจะทำให้เสียเวลาเพราะต้องรอการเฮให้จบลง กรณีนี้สามารถพูดแทรกก่อนการเฮจะจบครับและคนที่มีความเก๋าจะพอเดาได้ว่าตรงไหนคนจะเฮและเตรียมช่องไว้ให้ก่อน บางครั้งต้องตัดประเด็น
10 ซ้อมๆ run ภายใต้เวลาจริง ทำบ่อยๆให้เกิดความเคยชินครับ อันนี้ดีที่สุด
11 ศึกษาเรื่องคนอื่น ถ้า ไม่แน่ใจให้ไปร่วมงานวันที่หนึ่งแล้วลองดูปัญหาครับ และกลับมาปรับรูปแบบของกระบวนการพรีเซ้นท์ของเรา
